ดิ่งยกกระดาน! เจาะชนวนหุ้นร่วงยกโลก ส่องสูตรเซียนสู้ศึกแดงเดือด

1.9K



ดิ่งยกกระดาน! เจาะชนวนหุ้นร่วงยกโลก ส่องสูตรเซียนสู้ศึกแดงเดือด

กลิ่นอายแห่งศักราชใหม่ยังไม่ทันจางหาย ความร้อนระอุของสถานการณ์ตลาดหุ้นทั่วโลกก็เข้ามาแทนที่เสียแล้ว หลังจากไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นยุโรปปิดตลาดแดงเถือกทุกกระดาน ส่วนตลาดหุ้นในภูมิภาคไม่ต้องพูดถึง พร้อมใจกันกอดคอหล่นร่วงอย่างรู้รักสามัคคี โดยเฉพาะตลาดเซี่ยงไฮ้ เรียกได้ว่า แดงโลหิตสาด จนตลาดหลักทรัพย์ของจีนต้องใช้ circuit breaker แก้ปัญหาหุ้นตกกันไปชนิดดิบๆ เถื่อนๆ

ในสมรภูมิตลาดหุ้นที่เหล่านักรบ นายกองทั้งหลายไม่สามารถคาดเดาทิศทางของเดิมพันครั้งนี้ได้ หากเดินเกมพลาดแม้แต่ก้าวเดียว อาจร่วงลงเหวจนไร้เรี่ยวแรงตะเกียกตะกายกลับขึ้นมายืนหยัดได้อีกครั้ง โอกาสนี้ ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ พูดคุยกับ 2 ซุป'ตาร์โบรกเกอร์ของเมืองไทย สุเชษฐ์ สุขแท้ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานค้าหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ จำกัด และ เผดิมภพ สงเคราะห์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย...ในสภาวะเหลียวซ้ายแลขวาก็ไม่น่าไว้ใจเช่นนี้ แมงเม่าปีกอ่อนจะไต่เต้าเป็นแมงเม่าปีกแข็งได้อย่างไร เซียนขั้นเทพจะอยู่อย่างไรไม่ตกสวรรค์ โปรดติดตาม!

เจาะต้นตอทำหุ้นร่วงยกโลก สแกนประเด็นร้อนต้องจับตา!

นายสุเชษฐ์ สุขแท้ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานค้าหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ จำกัด กล่าวถึงปัจจัยที่มีผลต่อตลาดหุ้นทั่วโลก ณ เวลานี้ว่า ปัจจัยแรกคงหนีไม่พ้นความกังวลของนักลงทุนที่มีต่อปัญหาการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ส่วนปัจจัยที่สองคือสถานการณ์หวั่นผวาที่เกิดขึ้นในเอเชีย หลังเกาหลีเหนือได้ทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ ส่วนปัจจัยที่สามคือเหตุความขัดแย้งระหว่างซาอุดีอาระเบีย-อิหร่าน และปัจจัยที่สี่นั้นมาจากราคาน้ำมันโลกลดลงอย่างรุนแรงและต่อเนื่องตลอดทั้งปี

สุเชษฐ์ บริษัทหลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ กล่าวถึงปัจจัยกดดันภายในประเทศว่า “ก่อนหน้านี้ตลาดหุ้นไทยได้รับแรงกดดันจากแรงขายในหุ้นกลุ่มไอซีที บวกเข้ากับปัจจัยพื้นฐานทั้งสี่ประการข้างต้นไม่ดีเท่าใดนัก จึงทำให้พอร์ตการลงทุนส่วนใหญ่ในตลาดหุ้นไทยเกิดการเทขาย เนื่องจากนักลงทุนมีความกังวลว่า ตลาดอาจได้รับแรงกดดันจนทรุดตัวต่ำลงไปอีก จึงเลือกที่จะชิงขายไว้ก่อน เพื่อลดความเสี่ยง และเป็นเหตุให้นักลงทุนโยกย้ายเงินลงทุนไปที่ทองคำ ซึ่งเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย”

นายเผดิมภพ สงเคราะห์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย กล่าวถึงสาเหตุที่ตลาดหุ้นทุกแผ่นดินพร้อมใจกันร่วงว่า สถานการณ์ดังกล่าวมีผลมาจากปัจจัยต่างๆ หลายประการ โดยปัจจัยที่หนึ่งมาจากสภาวะเศรษฐกิจโลกในปีที่ผ่านมา

โดย เผดิมภพ เปรียบเทียบกันระหว่างเศรฐกิจของประเทศที่พัฒนาแล้ว และประเทศที่กำลังพัฒนาว่า เศรษฐกิจของประเทศที่พัฒนาแล้วสามารถฟื้นตัวได้ดีกว่าประเทศที่กำลังพัฒนา จึงเป็นเหตุให้ค่าเงินของประเทศที่พัฒนาแล้วแข็งค่าขึ้น

ส่วนปัจจัยที่ 2 นั้น มาจากนโยบายปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของประเทศต่างๆ โดยเฉพาะประเทศที่มีแนวโน้มว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งนโยบายดังกล่าวจะเป็นผลให้เม็ดเงินลงทุนของนักลงทุนมีโอกาสโยกย้ายเข้าไปในประเทศนั้นๆ และประเทศที่ว่านั้นก็คือ สหรัฐอเมริกา เนื่องจากธนาคารกลางของสหรัฐอเมริกา (เฟด) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย จึงทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้น

“วินาทีนี้ ปัจจัยสำคัญที่ทั่วโลกต่างพุ่งเป้าคือ การประสบปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัวของประเทศจีน โดยเฉพาะตัวเลขภาคการผลิต ตัวเลขภาคการบริการที่ออกมาค่อนข้างต่ำ จึงทำให้จีนต้องตัดสินใจใช้นโยบายอัตราแลกเปลี่ยน เพื่อเป็นเครื่องมือสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจทางอ้อม เพราะฉะนั้น สิ่งที่ตามมาคือ ค่าเงินหยวนอ่อนค่าลง จนทำให้เม็ดเงินของนักลงทุนในจีนไหลออกไปยังประเทศอื่น มิหนำซ้ำยังฉุดให้ประเทศต่างๆ ในเอเชียที่เป็นคู่ค้ากับจีนต้องแย่ลงไปด้วย” นายเผดิมภพ กล่าวถึงประเด็นหลักที่ทั่วโลกกำลังให้น้ำหนัก

หุ้นแดงทุกกระดานทั่วโลก กระทบไทยอย่างไร?

นายสุเชษฐ์ สุขแท้ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานค้าหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ จำกัด กล่าวถึงผลกระทบของสถานการณ์ตลาดหุ้นทั่วโลกที่มีต่อประเทศไทยว่า แม้แต่ตลาดหุ้นขนาดใหญ่ทั่วโลกยังเกิดความกังวล และได้รับผลกระทบจากปัจจัยกดดันต่างๆ อย่างหลีกหนีไม่ได้ นับประสาอะไรกับประเทศไทยที่เป็นเพียงแค่จุดเล็กๆ จะสามารถรอดพ้นความดำมืดไปได้ โดยที่ไม่โดนหางเลข

ทั้งนี้ ทางรัฐบาลไทยได้พยายามแก้ไขปัญหาดังกล่าว ด้วยวิธีการเปลี่ยนเป้าหมายการลงทุนจากหุ้นต่างชาติ หันมาพุ่งเป้าหุ้น Domestic Play เช่น หุ้นกลุ่มก่อสร้าง, หุ้นกลุ่มไอซีที ซึ่งเป็นการสร้างความแข็งแกร่งให้ตลาดหุ้นภายใน เพื่อประคับประคองสถานการณ์ตลาดหุ้นไทยให้ยืนหยัดอยู่ได้ในระดับหนึ่ง

“นักวิเคราะห์ นักลงทุนทั่วโลกต่างมีความกังวลต่อสถานการณ์ของประเทศจีนที่ไม่สามารถคาดเดาได้ว่า เศรษฐกิจจีนจะสามารถกระเตื้องขึ้นได้เมื่อไหร่ ซ้ำร้ายยังกังวลในประเด็นสงครามซาอุฯ-อิหร่านที่ไม่รู้เมื่อไหร่จะหยุดยิง หลังจากตลาดทั่วโลกเกิดความกลัว จึงทำให้นักลงทุนทุกจุดทั่วโลกต่างเลือกเทขาย และไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทยเองก็ยังได้รับอานิสงส์นั้นๆ มาด้วย แต่สุดท้ายทุกอย่างที่เกิดขึ้นในตอนนี้มันจะเลือนหายไปเอง และวันใดวันหนึ่งมันอาจกลับมาอีกครั้ง” นายสุเชษฐ์ โบรกเกอร์มือทองประจำ บล.ไทยพาณิชย์ กล่าวตามความเป็นไปของตลาดหุ้น

นายเผดิมภพ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย กล่าวถึงสถานการณ์ของตลาดหุ้นทั่วโลกที่มีผลต่อประเทศไทยว่า ตั้งแต่เปิดศักราชใหม่ปี 2559 สถานการณ์ตลาดหุ้นทั่วโลกปั่นป่วน และปรับลดลงแรง แต่ไม่ได้มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยมากนัก เนื่องจากอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยค่อนข้างเป็นไปในทางบวก กล่าวคือ เศรษฐกิจไทยเริ่มเติบโตขึ้นอย่างช้าๆ ซึ่งแตกต่างจากอัตราการเติบโตในช่วงที่ผ่านมา เพราะเรียกได้ว่า ค่อนข้างน่ากังวล

“แม้ว่าเศรษฐกิจไทยยังสามารถเดินหน้าต่อไปได้ แต่การโยกย้ายเงินของนักลงทุนยังมีอยู่ ซึ่งนักลงทุนยังเลือกลงทุนในตลาดพัฒนาแล้ว หรือ Developed Market ซึ่งเป็นตลาดที่สามารถเติบโตได้ดีกว่า แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องจับตาเป้าจีดีพีปี 2559 ที่คาดการณ์ว่าจะเติบโตขึ้น 3% แต่ภายหลังอาจจะต้องหั่นเป้าลงมาหรือไม่” นายเผดิมภพ แนะให้จับตาการเติบโตของเศรษฐกิจไทยร่วมด้วย

แม้ว่า สถานการณ์ของตลาดหุ้นทั่วโลกไม่ดีนัก แต่กลับไม่ได้ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยร่วงลงมากจนเกินไป เนื่องจากระดับ P/E อยู่ที่ระดับ 13 เท่า ซึ่ง เผดิมภพ มองว่า ราคาอาจจะอยู่ในเกณฑ์ที่ถูก แต่ไม่ถือว่าถูกมาก อย่างไรก็ตาม บล.กสิกรไทย ประเมินว่า ในสัปดาห์หน้า ดัชนีตลาดหุ้นไทยจะไม่ปรับตัวลงมากเท่าใดนัก

ทำนายหุ้นไทยครึ่งปีแรก ร่วง หรือ รุ่ง?

นายสุเชษฐ์ สุขแท้ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานค้าหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ จำกัด กล่าวถึงแนวโน้มตลาดหุ้นไทยว่า ในช่วงครึ่งปีแรกของตลาดหุ้นไทย นักลงทุนควรจับตาหุ้นกลุ่มที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจ เช่น หุ้นกลุ่มก่อสร้าง, หุ้นกลุ่มโรงพยาบาล ซึ่งได้รับผลดีจากการเปิด AEC, หุ้นกลุ่มรถไฟฟ้า หลังได้ปัจจัยหนุนจากการพัฒนาเส้นทางและเริ่มเปิดใช้บริการในปีนี้, หุ้นกลุ่มไอซีที เนื่องจากการใช้บริการ 4G ในครึ่งปีหลังอาจมีความชัดเจนมากขึ้น

“หุ้นในกลุ่มที่ไม่ควรเล่น ได้แก่ หุ้นในกลุ่มเกษตร (ประเทศไทยประสบปัญหาน้ำทำการเกษตร), กลุ่มส่งออก (เศรษฐกิจโลกย่ำแย่), กลุ่มบ้าน ที่ดิน หรือกลุ่มแบงก์ (ตัวเลข NPL ปรับตัวสูงขึ้น)” สุเชษฐ์ ซุป'ตาร์โบรกเกอร์ ชี้ช่องเลี่ยงบินเข้ากองไฟ

นายเผดิมภพ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย คาดการณ์ดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีแรกไว้สั้นๆ ว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยครึ่งปีแรกจะเป็นไปในลักษณะของการ sideway ในกรอบแคบๆ โดยมองกรอบดัชนีน่าจะแกว่งตัวอยู่ที่ 1,200-1,250 จุด ดังนั้น นักลงทุนควรถือในช่วงสั้นๆ ส่วนตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์หน้า คาดกรอบดัชนีน่าจะแกว่งตัวอยู่ที่ 1,222-1,250 จุด

แมงเม่า เหล่าเซียน ไม่ว่าใครไหนก็ต้องระวัง! โบรกฯ แนะนำ อยู่อย่างไรให้รอด?

นายสุเชษฐ์ สุขแท้ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานค้าหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ จำกัด แนะหนทางให้คอหุ้นทั้งหลายไม่กลายเป็นแมงเม่าว่า สำหรับผู้ที่ขึ้นชื่อว่าเป็น “นักลงทุนตัวจริง” ไม่ต้องคร่ำเคร่งแต่อย่างใด เปลี่ยนความกังวลเป็นการเดินทางไปเที่ยวพักผ่อนสัก 6 เดือน เพื่อรอให้สถานการณ์เศรษฐกิจทั่วโลกคลี่คลายเสียก่อน

สุเชษฐ์ ขยายความให้นักลงทุนได้มองเห็นภาพการลงทุนในช่วงนี้ว่า “วินาทีนี้ นักลงทุนในหุ้นควรเปรียบตัวเองเสมือนนักมวย หากคุณยังทนยืนอยู่บนสังเวียน คุณจะโดนคู่ต่อสู้ชก คุณต้องเจ็บไม่มากก็น้อย แต่ถ้าคุณยอมสละเวลาสักนิดออกมายืนดูท่าทีคู่ต่อสู้อยู่ข้างสังเวียน คุณจะไม่เจ็บ และคุณจะได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ ที่อยู่ในสังเวียน คุณจะรู้จักคู่ต่อสู้ และคุณจะเก่งมากขึ้น”

 

ส่วนนักลงทุนหน้าใหม่ หรือนักลงทุนมือสมัครเล่น สุเชษฐ์ ขยายความนักลงทุนกลุ่มนี้ว่า นักลงทุนที่ไม่มีเงินลงทุนมากพอ หากนักลงทุนกลุ่มนี้ไม่ศึกษาข้อมูลก่อนการลงทุนให้ดี สุเชษฐ์ บอกสั้นๆ กับทีมข่าวว่า “ตายแน่”

“ถ้าคุณสักแต่จะฟังแต่โบรกฯ ดังๆ ว่าเล่นตัวไหนดี เซียนท่านนั้นแนะให้เล่นตัวนั้นตัวนี้ ขอบอกได้คำเดียวว่า รอดยาก เพราะในสภาวะที่เศรษฐกิจกำลังย่ำแย่เช่นนี้ ความอยู่รอดของบริษัทหน้าใหม่นั้นมีน้อยมาก ดังนั้นเมื่อกลุ่มหุ้นหน้าใหม่ๆ มาเจอเข้ากับนักลงทุนที่หน้าใหม่เช่นกัน ยิ่งเป็นตัวฉุดรั้งให้การลงทุนของคุณมีความเสี่ยงมากขึ้น” สุเชษฐ์ นักวิเคราะห์คนดัง เตือนสติก่อนแมงเม่าบินเข้ากองไฟ

 

 

นายเผดิมภพ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย แนะนำเหล่านักลงทุนตัวยงว่า “แนะนำนักลงทุนว่า เมื่อดัชนีอยู่ในระดับที่ใกล้ๆ 1,200 จุด นักลงทุนค่อยซื้อ โดยหุ้นเด่นที่กสิกรไทยแนะนำคือ กลุ่มหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากการที่ราคานำ้มันลง นั่นก็คือ หุ้นสายการบิน โดยเฉพาะ หุ้นบางกอกแอร์เวย์ส (BA), หุ้นไทยแอร์เอเชีย (AAV) และหุ้นในกลุ่มส่งออกอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งได้รับผลบวกจากการที่เงินบาทอ่อนค่า โดยหุ้นในสองกลุ่มข้างต้นคือหุ้นขนาดกลาง และแนะนำว่าให้ถือระยะยาว ส่วนหุ้นที่ควรถือระยะสั้น ควรเป็นหุ้นกลุ่มธุรกิจไอซีที ซึ่งเป็นหุ้นขนาดใหญ่

นักวิเคราะห์มือฉมัง บอกใบ้สูตรเทรดหุ้นในช่วงนี้ให้คอหุ้นทั้งหลายว่า “อธิบายให้เข้าใจง่ายๆ ว่า ช่วงนี้ หุ้นขนาดใหญ่ให้เล่นสั้น ส่วนหุ้นขนาดกลางให้เล่นยาว”


กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียว แต่กรุงโรมกลับถูกทำลายให้มลายหายได้ภายในหนึ่งวัน
ตลาดหุ้นก็เช่นกัน...


Cr.www.thairath.co.th

sendLINE

Comment