กินเป็น อยู่เป็น ไม่ป่วย ด้วยการ ตัดขาดจาก 5 สิ่งต้องห้าม

1.9K



กินเป็น อยู่เป็น ไม่ป่วย ด้วยการ ตัดขาดจาก 5 สิ่งต้องห้าม

นายแพทย์บุญชัย อิศราพิสิษฐ์ ให้ความรู้ในหัวข้อ กินเป็น-อยู่เป็น- ไม่ป่วย ว่า การดูแลสุขภาพของตนเองและคนในครอบครัวเป็นเรื่องที่สำคัญ ปัจจุบัน มีการพบว่าเราสามารถสุขภาพดีโดยไม่พึ่งยาได้ เพียงแค่รู้จักการกินที่ดี การดูแลตนเองด้วยวิธีแบบธรรมชาติ และใช้อาหารเสริมตามความจำเป็นในเวลาที่เร่งรีบหรือไม่สามารถรับประทานอาหารสดตามที่ร่างกายต้องการได้ โดยเคล็ดลับง่ายๆ ของการ กินเป็น-อยู่เป็น- ไม่ป่วย คือตัดขาดจาก 5 สิ่งต้องห้าม ได้แก่

1) การจินตนาการเชิงลบ – ปัจจุบัน คนเมืองและคนวัยทำงานต้องเผชิญกับความเครียดสะสมอย่างมากทั้งจากงานและชีวิตประจำวันจนทำให้เกิดจินตนาการเชิงลบ ซึ่งความคิดเหล่านี้เป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคต่างๆ ขึ้นมาได้ นั่นก็เป็นเพราะว่าจิตใจของเราเชื่อมต่อกับร่างกายโดยตรง ดังนั้น ความคิดหรือจินตนาการเชิงลบจะทำให้เราไม่เป็นสุข เกิดความเครียดทางอารมณ์ สะสมลงสู่จิตใต้สำนึกโดยไม่รู้ตัว ทำให้ร่างกายเกิดเจ็บป่วยตามความคิดไปด้วย

2) ความอ้วน – ไลฟ์สไตล์และอาหารการกินของคนสมัยใหม่เอื้อให้เป็นโรคอ้วนง่ายขึ้น ทั้งจะต้องเข้าสังคมปาร์ตี้สังสรรค์ การหาร้านอาหารใหม่ๆ เพื่ออัพเดทลงโซเชียล มีเดีย หรือแม้แต่การนั่งทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ตลอดทั้งวันโดยไม่ได้ขยับร่างกาย ล้วนแต่เป็นสาเหตุให้เกิดโรคอ้วนได้ทั้งสิ้น หลายคนอาจคิดว่าตนเองไม่ได้อ้วนแต่แค่มีพุงนิดหน่อย แต่อันที่จริงแล้วการอ้วนลงพุงนั้นอันตรายมาก โดยตามเกณฑ์แล้วหากวัดจากรอบเอวผู้ชายไม่ควรเกิน 36 นิ้วหรือประมาณ 90 ซม. สำหรับเอวผู้หญิงไม่ควรเกิน 32 นิ้วหรือ 80 ซม. ซึ่งความอ้วนและอ้วนลงพุงนี้เป็นสาเหตุของโรคมากมาย เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง อัมพฤกษ์-อัมพาต โรคตับอักเสบ-ตับแข็ง โรคข้อและกระดูก และแม้กระทั่งมะเร็ง

3) ลดการบริโภคน้ำตาล – คุณสาวๆ ที่ชอบรับประทานขนมหวานลองฟังทั้งนี้ งานวิจัยหลายชิ้นบ่งชี้ว่าคนไทยส่วนใหญ่มีอาการติดรสหวานโดยไม่รู้ตัว เพราะน้ำตาลถือเป็นสารเสพติดชนิดหนึ่งที่ยิ่งทานยิ่งอร่อย น้ำตาลจึงกลายเป็นส่วนผสมที่มีอยู่ในอาหารคาวและหวานแทบทุกเมนู ทั้งที่ในความเป็นจริงร่างกายคนเราต้องการน้ำตาลเพียงครึ่งช้อนชาต่อวัน และที่สำคัญอาหารหลายๆ ชนิดก็มีน้ำตาลที่ร่างกายต้องใช้อยู่แล้ว ดังนั้น การที่เราบริโภคน้ำตาลมากเกินความต้องการจากการรับประทานอาหารบางประเภทมากเกินไป เช่น ขนมหวาน น้ำหวานหรือน้ำอัดลม หรือแม้กระทั่งข้าวขาว และผลไม้ชนิดหวาน เช่น มะม่วงสุก ทำให้เราเข้าสู่พฤติกรรม “แช่อิ่ม” เพราะทำให้เกิดการสะสมของน้ำตาลในร่างกายมากเกินความจำเป็นและนำมาสู่โรคภัยต่างๆ ได้

4) งดบริโภคไขมันทรานส์ – เพราะไขมันทรานส์เกิดจากการแปรรูปจึงย่อยสลายได้ยากกว่าไขมันชนิดอื่น เช่น ครีมเทียมในกาแฟพร้อมเสิร์ฟ ขนมเค้กหรือเบเกอรี่ ฯลฯ นอกจากนี้คนจำนวนมากยังมีความเชื่อผิดๆ ว่าการใช้น้ำมันไม่อิ่มตัวอย่างน้ำมันพืช น้ำมันถั่วเหลือง มาปรุงอาหารประเภททอดแล้วดีกว่าการใช้น้ำมันอิ่มตัว แต่ในความเป็นจริงแล้วน้ำมันประเภทไขมันไม่อิ่มตัวนั้นสามารถจับกับไฮโดรเจนกลายเป็นไขมันทรานส์และก่อให้เกิดสารพิษตกค้างในร่างกายได้ อย่างไรก็ตาม การเลือกรับประทานอาหารที่ปรุงแบบนึ่ง ต้ม หรือย่างโดยมีสิ่งห่อหุ้มระหว่างอาหารกับที่ย่าง เช่น ใบตอง จึงปลอดภัยต่อร่างกายมากกว่าการรับประทานอาหารแบบทอด

5) หลีกเลี่ยงการรับประทานสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม – สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมถือเป็นสายพันธุ์ที่ใกล้ชิดกับมนุษย์ ดังนั้น การรับประทานสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เช่น หมู เนื้อวัว ฯลฯ นั้นจึงให้โทษต่อร่างกายไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการสะสมพิษชนิดเดียวกัน และยังมีไขมันและกล้ามเนื้อที่เป็นโทษและย่อยยากด้วย เราจึงควรหาแหล่งโปรตีนอื่นที่มีคุณภาพรับประทานแทน เช่น ปลาทะเลน้ำลึก เห็ดชนิดต่างๆ โดยเฉพาะหากใครที่ต้องการลดน้ำหนัก เมนูเห็ดเป็นเมนูที่ดีที่สุดเพราะไม่มีน้ำตาล ไม่มีไขมัน อุดมด้วยโปรตีนและไฟเบอร์ และธัญพืชต่างๆ เป็นต้น”

นอกจากการหลีกเลี่ยงพฤติกรรม 5 สิ่งต้องห้ามแล้ว เรายังควรปฏิบัติดังต่อไปนี้ คือ เลือกรับประทานผัก-ผลไม้สดที่ไม่หวาน เพราะผักและผลไม้สดให้คุณค่าของวิตามินอย่างแท้จริง และวิตามินในผักผลไม้ยังมีประโยชน์ต่อร่างกายหลากหลายด้าน ที่สำคัญเราต้องเลือกรับประทานผักและผลไม้หลากหลายชนิดเพื่อให้ได้รับวิตามินครบถ้วน โดยแนะนำให้รับประทานผักและผลไม้เป็นสัดส่วนครึ่งต่อครึ่งของอาหารในแต่ละมื้อ เลือกทานแป้งไม่ขัดสี เพราะแป้งไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ข้าวไรซ์เบอร์รี่ หรือขนมปังโฮลวีต เป็นแป้งที่มีโครงสร้างซับซ้อนทำให้ชะลอปริมาณน้ำตาลในเลือด

และที่สำคัญยิ่งอายุมากขึ้นยิ่งควรทานข้าวในปริมาณที่น้อยลงในแต่ละมื้อ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ แนะนำอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วัน วันละ 30 นาที พักผ่อนให้เพียงพอ การนอนหลับอย่างมีคุณภาพช่วยให้ร่างกายสามารถเป็นไปได้ตามปกติ แนะนำให้นอนหลับสนิทอย่างน้อยวันละ 4 ชม. และคิดบวกการคิดบวกและมีทัศนคติที่ดี ช่วยให้เรามีความสุข ร่างกายเราก็จะสุขไปด้วย

เชื่อว่าหากทุกคนสามารถปฏิบัติได้ตามคำแนะนำข้างต้น สุขภาพทุกคนในครอบครัวก็จะดีและไร้โรคภัยไข้เจ็บด้วย นพ.บุญชัย กล่าวสรุป


Cr. health.mthai.com

sendLINE

Comment