สักการะปีหน้าเฮง! ไหว้พระโบราณ 9 องค์ เอาฤกษ์เอาชัยเสริมดวงปีใหม่!
สักการะปีหน้าเฮง! ไหว้พระโบราณ 9 องค์ เอาฤกษ์เอาชัยเสริมดวงปีใหม่!
ต้อนรับปีวอก พุทธศักราช 2559 หนึ่งในกิจกรรมที่คนไทยนิยมกันมากที่สุดคือ การเดินสายไหว้พระขอพร เพื่อให้ชีวิตรุ่งเรือง ปลอดภัย มีความสุข และราบรื่นกันไปตลอดปี ใครที่อยากได้บุญหนัก แนะนำให้ไปไหว้พระพุทธรูปมงคลโบราณ 9 องค์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของไทย วันนี้ ไทยรัฐออนไลน์ จะพาไปทำความรู้จักกับ พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ที่นี่ประดิษฐานพระพุทธรูปวังหน้า พระปฏิมาแห่งแผ่นดินไว้มากมายหลายองค์ และในวารดิถีขึ้นปีใหม่ 2559 ทางกรมศิลปากร ก็ได้มีการจัดกิจกรรมพิเศษ 'ศุภวารกราบกรานพุทธบูชา วัสสวานร 2559' ขึ้น เพื่อเปิดให้ประชาชนเข้าสักการะบูชาพระพุทธรูปเพื่อความเป็นสิริมงคล ตั้งแต่วันนี้ - 24 ม.ค. 2559
1. พระพุทธสิหิงค์ พระพุทธรูปประทับนั่งขัดสมาธิราบบนฐานปัทม์ พระหัตถ์แสดงปางสมาธิ มีพระรัศมีคล้ายเปลวเพลิง สร้างขึ้นตามตำนานที่ปรากฏในนิทานพระพุทธสิหิงค์ โดยพระภิกษุชาวเชียงใหม่ ในระหว่าง พ.ศ. 1945 - 1985 ในสมัยสุโขทัย พระพุทธสิหิงค์ถูกอัญเชิญมาจากกรุงลังกา ต่อมาถูกเคลื่อนย้ายไปตามหัวเมืองหลายแห่ง เช่น พิษณุโลก กรุงศรีอยุธยา กำแพงเพชร เชียงราย และเชียงใหม่ ต่อมาในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท (วังหน้ารัชกาลที่ 1) ทรงอัญเชิญพระพุทธสิหิงค์มาประดิษฐาน ณ พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ เมื่อ พ.ศ. 2338 เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ที่นับถือของชาวกรุงเทพฯ มาแต่ครั้งนั้น
พระพุทธรูปปางมารวิชัยทรงเครื่องอย่างพระมหาจักรพรรดิ แสดงบุญญานุภาพเหนือพระยามหากษัตริย์ทั้งปวง ได้รับแรงบันดาลใจจากศิลปะลังกา นอกจากนี้พระพุทธรูปทรงเครื่องยังอาจหมายถึง พระโพธิสัตว์ศรีอาริยเมตไตรย พระอนาคตพุทธเจ้า คือพระพุทธเจ้าพระองค์ที่ 5 ในภัททกัลป์ ที่จะมาบังเกิดเมื่อสิ้นสุดยุคของพระพุทธเจ้าโคตม
พระพุทธรูปสำริดลงรักปิดทองทรงเครื่องอย่างกษัตริย์ พระหัตถ์ซ้ายทรงกำด้ามตาลปัตรโลหะขนาดเล็ก ที่พระเพลา พระหัตถ์ขวาทรงงอนิ้วพระหัตถ์จับขอบพัดด้านบนระดับพระอุระ เป็นพระพุทธรูปที่มีศิลปะแบบสุโขทัยและศิลปะอยุธยาตอนต้น ซึ่งอยู่ระหว่างช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 19 ถึงต้นพุทธศตวรรษที่ 20 พระพุทธรูปทรงตาลปัตร หมายถึง พระพุทธรูปในอิริยาบถทรงแสดงพระธรรมเทศนา แต่การที่พระพุทธรูปบางองค์ประดับธรรมจักรที่ฐาน อาจเป็นไปได้ว่าผู้สร้างต้องการย้ำว่าขณะแสดงพระธรรมเทศนานั้นเป็นประหนึ่งพระบรมศาสดาทรงหมุนวงล้อแห่งธรรมเพื่อเผยแผ่พระศาสนาออกไปในสากลโลก
พระพุทธรูปปางมารวิชัย ประทับนั่งขัดสมาธิราบ ลักษณะพระพักตร์ทำตามพระพุทธรูปแบบอู่ทองรุ่นที่ 2 หรือศิลปะอยุธยาตอนต้น พระวรกายโดยรอบมีจารึกอักษรขอม ภาษาบาลี มีความหมายว่า กำเนิดจากพุทธธรรมมงคลสูงสุด 38 ประการ คาดว่าเป็นพระพุทธรูปที่สร้างในช่วงประมาณพุทธศตวรรษที่ 22-23 และยังถือเป็นพระพุทธรูปสำคัญมาแต่โบราณ ปรากฏในพระราชพงศาวดารตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช นามพระชัยมีความหมายว่า 'ชัยชนะ' มักมีการอัญเชิญไปในกองทัพยามออกศึกสงคราม เพื่อให้ได้มาซึ่งชัยชนะ
พระพุทธรูปสำริด ประทับนั่งทรงจีวรคลุมพระวรกายทดลองหนาว เพื่อจะได้ทรงทราบประมาณและประทานพระบรมพุทธานุญาตจีวรบริขารสำหรับภิกษุสงฆ์แต่พอดี พระพุทธรูปองค์นี้เป็นพุทธปฏิมาที่หาได้ยาก มีความสำคัญคือ เป็นพระพุทธรูปประจำพระชนมพรรษาในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระปางนี้มีที่มาที่ไป คือ ในพระวินัยปิฎก มหาวรรค จีวรขันธกะ ได้ระบุว่า องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทดลองห่มจีวรคลุมพระวรกายตลอดราตรีในฤดูหนาว ทรงจีวร 4 ผืน จึงพอทนหนาวได้ถึงรุ่งสาง ต่อมาพระองค์พึงอนุญาตให้พระภิกษุสงฆ์สามารรถห่มไตรจีวรในหน้าหนาวได้ ซึ่งไตรจีวรที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตแก่ภิกษุสงฆ์นั้น ได้แก่ ผ้าสังฆาฏิ 2 ชั้น ผ้าอุตราสงค์ชั้นเดียว ผ้าอันตรวาสกชั้นเดียว
พระพุทธรูปประทับนั่งขัดสมาธิเพชร พระหัตถ์ขวาวางคว่ำบนพระชานุ พระหัตถ์ซ้ายวางหงายบนพระเพลา สันนิษฐานว่าแต่เดิมเคยมีผลสมอวางอยู่ในพระหัตถ์ซ้าย พระพุทธรูปองค์นี้ครองจีวรแบบพุทธศิลป์จีน จีวรลายดอกลงยาสี และเปลวรัศมีก็ลงยาสีเช่นกัน ประดิษฐานบนปัทมาสน์ (ฐานบัว) มีผ้าทิพย์ลงยาสีห้อยตรงกลาง ฐานพระกับองค์พระแยกออกจากกัน รูปแบบของพระฉันสมอองค์นี้ คล้ายคลึงกับพระฉันสมอที่วัดอัปสรสวรรค์วรวิหาร กรุงเทพมหานคร พระพุทธรูปสำคัญที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานเจ้าพระยาพลเทพ (ฉิม) บิดาของเจ้าจอมน้อย (สุหรานากง) ไปประดิษฐาน ณ วัดอัปสรสวรรค์
เป็นประติมากรรมรูปพระพุทธเจ้าขนาดเล็กประสานอยู่ที่พระเพลา (ปางถวายเนตร) อยู่บนเศียรของมหิสสรเทวะ หรือ มหิสสรเทพบุตร นั่งคุกเข่าในท่าพนมมือ บนฐานซึ่งหล่อเป็นรูปเขาพระสุเมรุ (ที่ประทับของพระอิศวร) มหิสสรเทพบุตรสวมมงกุฎ และเครื่องทรงตามแบบศิลปะอยุธยาตอนปลาย-รัตนโกสินทร์ตอนต้น ประติมากรรมชิ้นนี้ คาดว่าน่าจะสร้างขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ประมาณพุทธศตวรรษที่ 24
พระพุทธรูปยืนครองจีวรห่มเฉียง บนฐานบัวขาสิงห์ย่อมุม ด้านหน้าของฐานประดับหน้ากาล พระหัตถ์ขวายกขึ้นในท่ากวัก พระหัตถ์ซ้ายนั้นหงายขึ้นยกเสมอบั้นพระองค์ในอิริยาบถรองรับน้ำฝน คาดว่าสร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย เพื่อใช้ในพระราชพิธีขอฝน ต่อมาในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 1 มีพระราชดำริในโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระพุทธรูปปางขอฝนขึ้นเพื่อใช้ประกอบพระราชพิธีพืชมงคล ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อพุทธศักราช 2453 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้นายอัลฟอนโซ ทอร์นาเรลลี ศิลปินชาวอิตาลี ปั้นแบบสำหรับหล่อพระพุทธรูปปางนี้ให้มีลักษณะเหมือนจริงใกล้เคียงกับมนุษย์มากขึ้น และพระพุทธรูปปางขอฝน ยังเป็นพระพุทธรูปประจำวันอังคารอีกด้วย
พระพุทธองค์ประทับห้อยพระบาทบนโขดหิน ครองจีวรห่มเฉียงลายดอก เบื้องพระพักตร์ซ้ายขวามีช้างชูงวงถวายกระบอกน้ำและลิงถวายรวงผึ้ง พระหัตถ์ซ้ายและขวาวางบนพระเพลา ในขณะที่พระหัตถ์ขวาหงายขึ้นแสดงอาการทรงรับกระบอกน้ำจากช้าง แต่พระหัตถ์ซ้ายวางคว่ำลงแสดงการปฏิเสธรวงผึ้งจากวานร พระพุทธรูปปางป่าเลไลยก์ ถือกันว่าเป็นพระพุทธรูปประจำวันของผู้ที่เกิดวันพุธในเวลากลางคืน ตั้งแต่หกโมงเย็นของวันพุธจนถึงหกโมงเช้าชองวันพฤหัสบดีตามการกำหนดในโหราศาสตร์
|

Comment
New!

สถาปนิก 68 ทบทวนทิศทาง Past Present Perfect

หากท่านอยู่ในอุตสาหกรรมน้ำมันและปิโตรเคมี ไม่ควรพลาดงานนี้ !! งาน Thailand Oil & Gas Roadshow 2024

สถาปนิก’68 ทบทวนทิศทาง Past Present Perfect

แบรนด์ผลิตภัณฑ์ก่อสร้างชั้นนำกว่า 600 บริษัท ตบเท้าร่วมงานสถาปนิก’67 พร้อมโชว์นวัตกรรมสุดล้ำ
Popular

ความรู้เกี่ยวกับความปลอดภัยในการทำงาน

สินค้าส่งออกสำคัญ 10 อันดับแรกของไทย

การส่งกำลังโดยใช้สายพาน

ประเภทสกรูและน็อต อุตสาหกรรม