จับตารัฐบาลควัก ประชานิยม ฟื้นสัญญาณชีพเศรษฐกิจไทย

1.5K



จับตารัฐบาลควัก ‘ประชานิยม’ ฟื้นสัญญาณชีพเศรษฐกิจไทย

 
 


ตลอด 1 ปีของรัฐบาล “บิ๊กตู่” จึงต้องสอบตกในเรื่องของการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจมาโดยตลอด เพราะพี่น้องคนไทยยังต้องเผชิญภาวะยากลำบากอยู่แทบทุกวัน


ในที่สุดรัฐบาลของ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ก็หนีไม่พ้น...ต้องหันมาพึ่งพานโยบาย “ประชานิยม” เข้าจนได้ เพราะปัญหาเศรษฐกิจที่กระหน่ำเข้าใส่ในเวลานี้ ช่างยากเย็นเหลือเข็ญที่จะทำให้ชีวิตความเป็นอยู่คนไทยดีขึ้นได้ ด้วยมีก้างใหญ่อย่าง “ความไม่เชื่อมั่น” ค้ำคอคนไทยอยู่ ทำให้ไม่กล้าใช้จ่าย จนส่งผลให้ฟันเฟืองในการกระตุ้นเศรษฐกิจเดินได้แบบติด ๆ ขัด ๆ


สุดท้าย!!! ตลอด 1 ปีของรัฐบาล “บิ๊กตู่” จึงต้องสอบตกในเรื่องของการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจมาโดยตลอด เพราะพี่น้องคนไทยยังต้องเผชิญภาวะยากลำบากอยู่แทบทุกวัน โดยเฉพาะปัญหาปากท้อง ค่าครองชีพสูง รายได้มีไม่เพียงพอกับรายจ่ายที่สูงขึ้นจนเขย่งก้าวไม่ทัน


จึงไม่ใช่เรื่องแปลก...หากรัฐบาลบิ๊กตู่ จะกลับอกกลับใจหันมาใช้นโยบายประชานิยมกับเค้าบ้าง หากทำให้เศรษฐกิจของประเทศเดินหน้าต่อไปได้โดยไม่สะดุด และคนไทยทั้งประเทศได้ประโยชน์


นโยบาย ’ประชานิยม“ มีหลายขั้นหลายระดับ ขึ้นอยู่กับความหนักเบา ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการใช้ ขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการ หากทำอย่างถูกต้อง ไม่มีเล่ห์ ไม่มีนอก ไม่มีใน ไม่มีผลประโยชน์ส่วนตัว


แม้ว่ารัฐบาลจะปฏิเสธเรื่องของประชานิยม แต่หากเจาะลึกในรายละเอียดของแต่ละมาตรการที่รัฐบาลได้ดำเนินไปก่อนหน้านี้ แต่ละมาตรการก็ใช้เงินใช้ทองช่วยทั้งนั้น เพียงแต่มีเงื่อนไขชัดเจน ไม่เทกระจาด “แจก” แบบไม่รู้ค่า เหมือนที่บรรดานักการเมืองนิยมเพื่อแลกกับคะแนนเสียง


ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจ หากคนไทยจะได้สัมผัสกับนโยบาย “ประชานิยม” กันอีกครั้ง เพราะ “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” รองนายกฯ และหัวหน้าทีมเศรษฐกิจภายใต้ ครม. “ประยุทธ์ 3” ยอมที่จะทุบหลักการทำงานเดิม ๆ ของรัฐบาล พร้อมควักนโยบายอัดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจในลักษณะของ “ประชานิยม” แต่เป็นประชานิยมแบบน้อย ๆ เพื่อดึงเศรษฐกิจให้โงหัวขึ้นให้ได้ เพราะมีระยะเวลาที่นายกฯ ลุงตู่ ขีดเส้นไว้ให้ 3 เดือน ต้องเห็นความเปลี่ยนแปลง


อัดเงินผ่านกองทุนหมู่บ้าน

เห็นได้จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นหรือเฉพาะหน้า ที่กำลังจะเข้าสู่การพิจารณาของครม.ในวันที่ 1 ก.ย.นี้ เต็มไปด้วยนโยบายเดิม ๆ ที่คุ้นเคยกันอยู่ อย่าง...การกระตุ้นการใช้จ่าย ซึ่งเป็นการหาช่องทางเพื่อทำให้เงินไหลไปถึงมือคนมีรายได้น้อยและรายได้ปานกลางให้มากที่สุด และวิธีที่ดีที่สุดคือต้องใช้กลไกของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติที่ครอบคลุมครัวเรือน 79,255 แห่งทั่วประเทศ โดยใส่เงินเข้าไปในกองทุนเพื่อปล่อยกู้ให้กับชาวบ้านแบบไม่คิดดอกเบี้ย แต่รัฐบาลจะเป็นผู้เข้าไปอุดหนุนอัตราดอกเบี้ยให้กับธนาคารของรัฐที่ปล่อยกู้ให้กับกองทุนหมู่บ้านฯ เอง ทั้งธนาคารออมสินและธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) วิธีการนี้รัฐบาลเชื่อว่าจะทำให้ชุมชนมีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจดีขึ้นจากเดิมแน่นอน!!!

การทำนโยบายนี้ถือเป็นเงินก้อนใหม่ที่รัฐจะใส่เข้าไป โดยกำลังตกลงว่า จะมีหลักเกณฑ์ที่จะปล่อยให้กับชาวบ้านจำกัดคนละเท่าใด ซึ่งวิธีการนี้....แตกต่างจากมาตรการเดิมที่กระทรวงการคลังเคยทำสมัยที่นายสมหมาย ภาษี เป็น รมว.คลัง เพราะได้ให้กองทุนหมู่บ้านฯ กู้เงินจากธนาคารออมสินและ ธ.ก.ส. ในอัตราดอกเบี้ย 5% ก่อนไปปล่อยกู้ให้กับสมาชิกอีกทอดหนึ่งซึ่งแนวทางนี้ทั้ง 2 ธนาคารได้เตรียมเงินไว้ให้กว่า 40,000 ล้านบาท

ทั้งนี้ “นที ขลิบทอง” ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนหมู่บ้าน และชุมชนเมืองแห่งชาติ หรือ สทบ. ได้ยืนยันว่า ขั้นตอนการปฏิบัติ สทบ. พร้อมบริหารจัดการทันทีเพราะมีกลไกบริหารที่เข้มแข็งอยู่แล้วโดยเงินก้อนใหม่นี้ เชื่อว่าจะมีหมู่บ้าน ที่อยู่ในเกรดเอและบีประมาณ 598,501 แห่ง ที่ได้รับประโยชน์และช่วยเติมเต็มให้เศรษฐกิจท้องถิ่นมีความคึกคักขึ้นมาได้


ชี้ปล่อยกู้ 6 หมื่นล้านบ.

ล่าสุดเริิ่มมีความชัดเจนจากกระทรวงการคลังแล้ว โดยเฉพาะวงเงินที่จะนำเข้ามาใช้ในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น ที่คาดว่าจะมีวงเงินปล่อยกู้ จากธนาคารออมสินและ ธ.ก.ส.ประมาณ 60,000 ล้านบาท โดยให้กองทุนหมู่บ้านนำไปปล่อยกู้กับสมาชิกกองทุน เพื่อให้เกิดการหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจภายในประเทศ และรัฐบาลจะชดเชยดอกเบี้ยเงินกู้ให้กับธนาคารทั้ง 2 แห่ง เป็นเวลา 2 ปี แต่หลังจากนั้นหากกองทุนหมู่บ้านยังไม่สามารถชำระเงินคืนได้ก็ให้เจรจาเงินกู้กับธนาคารดังกล่าวได้โดยตรง

ขณะเดียวกัน ยังต้องจับตาอย่างใกล้ชิดถึงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างกรรมการสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (แบงก์รัฐ) ใหม่ เพื่อรองรับนโยบายของรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะตำแหน่งประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการของแบงก์รัฐ ที่ถือเป็นส่วนสำคัญในการเดินหน้านโยบายของรัฐบาลให้มีความต่อเนื่อง


เร่งโครงการขนาดเล็ก

อีกหนึ่งโครงการที่ช่วยสร้างเม็ดเงินให้หมุนในพื้นที่เน้นไปที่การลงทุนในโครงการขนาดเล็กวงเงินไม่เกิน 1 ล้านบาท ที่เป็นการจ้างงานและจับจ่ายในท้องถิ่นเพราะโครงการส่วนใหญ่เป็นงานของผู้รับเหมาขนาดเล็กในพื้นที่โดย “อภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์” ขุนคลัง คนใหม่ ยืนยันรูปแบบอาจคล้าย ๆ โครงการไทยเข้มแข็งที่กระจายโครงการลงทุนเล็ก ๆ แต่แตกต่างกันเล็กน้อยตรงที่ไม่ใช่การกู้เงินมาทำ เพราะรัฐบาลจะเน้นการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีที่มีอยู่และเน้นโครงการเดิมที่มีอยู่แล้ว ที่จะให้หน่วยงานต้นสังกัดเร่งรัดแผนงานให้รวดเร็วขึ้นโดยขีดเส้นการเบิกจ่ายให้เสร็จใน 3 เดือน


แจกตำบลละ 5 ล้านบาท

การสร้างความเข้มแข็งของหมู่บ้านและชุมชนคงจะพึ่งใครไม่ได้ นอกจากกระทรวงมหาดไทยที่มีกลไกเฉพาะคอยดูแลรับผิดชอบครัวเรือนทั่วประเทศอยู่ โดยล่าสุดหัวหน้าทีมเศรษฐกิจได้ดอดเข้าไปคุยกับ “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว. มหาดไทย เพื่อขอให้เอาพลังของอย่างผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดเป็นหัวหอกช่วยกันรวบรวมหน่วยงานที่ดูแลในระดับท้องถิ่น ทั้งองค์การบริหารส่วนตำบลและองค์การบริหารส่วนจังหวัดมาช่วยหาทางกระตุ้นเศรษฐกิจโดยให้แจกเงินลงตำบลละ 5 ล้านบาท รวม 7,255 ตำบล คิดเป็นเงินกว่า 36,275 ล้านบาท เพื่อนำไปเป็นเงินใช้ในกิจกรรมต่าง ๆ ที่ทำแล้วเกิดประโยชน์ พร้อมกับฟื้นโครงการเดิม ๆ ที่ห่างหายไปนาน เช่น โครงการสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์หรือโอทอป ที่เลิกราไปนานให้กลับมาอีกครั้ง


หาช่องอุ้มเอสเอ็มอี

เช่นเดียวกับการดูแลเอสเอ็มอีที่มีอยู่หลายล้านรายทั่วประเทศส่วนใหญ่ประสบปัญหาขาดเงินทุนมาดำเนินธุรกิจ ซึ่งเรื่องนี้ ผู้ที่รับมอบหมายคือ “อรรชกา สีบุญเรือง” รมว.อุตสาหกรรม คนใหม่ ที่ต้องไปหาทางจับมือกับสถาบันการเงินต่าง ๆ ขอความร่วมมือเข้าไปให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีให้มีเงินทุนมาดำเนินกิจการและต้องทำให้เสร็จอย่างเร็วเพราะตอนนี้คนที่เดือดร้อนมีเวลารอคอยไม่นานมากนัก


ดันคลัสเตอร์อุตฯ

เมื่อสะสางงานเร่งด่วนแล้ว ที่ต้องเร่งทำเช่นกันคือ...การวางรากฐานของประเทศ ซึ่งต่อยอดงานเดิมที่ทำไว้แล้วให้เสร็จตามเป้าหมายในระยะเวลาที่จำกัด โดยมีเรื่องหลัก ๆ อยู่ 5 เรื่องที่ต้องทำ เริ่มจากการสร้างรากฐานของเศรษฐกิจ ภายในประเทศให้เกิดความเข้มแข็งเริ่มตั้งแต่ระดับหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ และจังหวัด พร้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นตัวนำในการขับเคลื่อนเพื่อประคองประเทศไม่ให้ได้รับผลกระทบจากภาคเศรษฐกิจใหญ่ที่ได้รับผลกระทบจากการส่งออกที่ชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจโลกโดยเน้นการจับจ่ายและส่งเสริมการท่องเที่ยวบนความเข้มแข็งของชุมชน

ต่อมา...คือการส่งเสริมการผลิตสินค้าแยกเป็นคลัสเตอร์ที่ชัดเจนและมีมาตรฐานสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ โดยพัฒนา สินค้าของไทยให้มีเอกลักษณ์โดดเด่นดึงดูดใจผู้ซื้อจากต่างชาติ เพราะหากจะดันทุรังผลิตแต่สินค้าเดิม ๆ คงสู้ประเทศเพื่อนบ้านที่มีค่าแรงถูกไม่ได้ ขณะเดียวกันการทำคลัส เตอร์สินค้าแยกออกมาให้ชัดว่าจะเน้นการผลิตสินค้าชนิดใดยังเป็นการสร้างประสิทธิภาพของสินค้านั้น ๆ ให้เป็นแชมเปี้ยนในเวทีโลกได้ โดยงานนี้ต้องส่งต่อให้ “สุวิทย์ เมษินทรีย์” รมช. พาณิชย์ รับงานไปหารือกับกระทรวงที่เกี่ยวข้องเพื่อหาแนวทางส่งเสริมต่อไป


สร้างนักรบรุ่นใหม่

งานช้างอีกอย่างของกระทรวงอุตสาหกรรมที่ต้องวางรากฐานของประเทศในระยะยาว โดยเฉพาะการส่งเสริมและยกระดับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีโดยต้องปั้นนักรบทางเศรษฐกิจรุ่นใหม่ให้เกิดขึ้นเป็นเอสเอ็มอีที่เข้มแข็งต่อสู้กับโลกภายนอกได้ โดยหาทางให้กลุ่มนี้ใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาทำการผลิตสินค้าหรือทำสินค้านวัตกรรม ซึ่งต้องร่วมมือกับสถาบันการศึกษาปั้นทีมงานคนรุ่นใหม่ สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่ดึงดูดใจหรือปรับโฉมสินค้าทุนเดิม ๆ เป็นสินค้าใหม่ ที่มีมูลค่าเพิ่มก่อนส่งเสริมไปขายยังตลาดใหม่ ๆ พร้อมกับให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้าคอยมาเป็นพี่เลี้ยงต่อยอดแนวคิดนี้ให้สำเร็จด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพภาครัฐในด้านเศรษฐกิจ โดยสนับสนุนรัฐวิสาหกิจที่เป็นกำลังสำคัญของภาครัฐให้ปฏิบัติงานได้เต็มที่ พร้อมจับมือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านการเงินเพื่อปฏิรูปการเงินการคลังร่วมกันพัฒนาตลาดทุนให้เติบโตเชื่อมกับโลกได้


ลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน

สุดท้าย! เป็นเรื่องสำคัญและถือเป็นเรื่องหนึ่งที่ชี้วัดว่าประเทศจะเกิดความเจริญได้มากน้อยแค่ไหน นั่นคือ เร่งโครงการลงทุนขนาดใหญ่เพื่อสร้างขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศทั้งโครงการรถไฟรางคู่และโครงการรถไฟฟ้าสารพัดสาย เช่นเดียวกับโครงสร้างพื้นฐานอื่น ๆ ที่ช่วยอำนวยความสะดวกด้านการขนส่งทั้งทางถนน น้ำ และอากาศ เพื่อให้เกิดกิจกรรมเศรษฐกิจตามมาในเส้นทางนั้น ๆ โดยงานส่วนใหญ่นายกฯ ต้องการให้ภาคเอกชนมาร่วมลงทุนกับภาครัฐหรือพีพีพี เพื่อช่วยลดภาระงบประมาณของภาครัฐและทำให้งานเดินหน้าเกิดขึ้นให้เห็นไม่ต้องรอถึงรุ่นลูกรุ่นหลานด้วย

 

ไม่ว่างานเดินหน้าเศรษฐกิจไทย ในเวลานี้ต้องหันพึ่ง “นโยบายประชานิยม” อย่างไร แต่ถ้าเพื่อทำให้ชีวิตคนไทยดีขึ้น มีความเป็นอยู่ดีขึ้น แข่งขันกับชาวโลกได้ ไม่ต้องนั่งทนลำบาก ก็เอาเถอะ... เพราะหากยังมัวแต่ยักท่า หรือกลัวถูกครหาว่าไปทำตามรอยนักการเมือง มัวแต่แข่งศักดิ์แข่งศรีกันอยู่ สุดท้ายแล้ว คนไทยต่างหากที่ต้องเป็นผู้รับกรรม!!!.

 

 

ทีมเศรษฐกิจ

 

 

 

ข้อมูลและรูปภาพ : http://www.dailynews.co.th/economic/344873

sendLINE

Comment