พาณิชย์เข็นส่งออกครึ่งปีหลัง โรดโชว์ตปท.-ดึงเจ้าสัวช่วย..
สถานการณ์การส่งออกไทยปี 58 กำลังอาการหนัก หลังเศรษฐกิจโลกซบเซาและยังไม่มีแนวโน้มฟื้นตัวเข้าสู่ภาวะปกติโดยเฉพาะตลาดจีน ญี่ปุ่น ยุโรปและอีกหลายประเทศสถานการณ์การส่งออกไทยปี 58 กำลังอาการหนัก หลังเศรษฐกิจโลกซบเซาและยังไม่มีแนวโน้มฟื้นตัวเข้าสู่ภาวะปกติโดยเฉพาะตลาดจีน ญี่ปุ่น ยุโรปและอีกหลายประเทศ กระทรวงพาณิชย์และภาคเอกชนต่างเร่งหาสารพัดมาตรการ มาใช้ในโค้งสุดท้ายของปีเพื่อพยุงตัวเลขไม่ให้เลวร้ายไปมากกว่านี้ ไม่เช่นนั้น... คนไทยทั้งประเทศอาจเห็นตัวเลขส่งออกไทยติดลบ 3 ปีติดต่อกัน และหนักสุดในรอบ 6 ปีนับตั้งแต่ปี 53ก็เป็นไปได้ สาเหตุหลัก...ที่ทำให้การส่งออกไทยติดลบ นอกจากเศรษฐกิจคู่ค้าต่างพร้อมใจกันซบเซายกเว้นอเมริกาที่โตสวนกระแสโลกแล้วยังเป็นเพราะราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ชะลอตัว ซึ่งในแต่ละปีไทยส่งออกน้ำมันคิดเป็นมูลค่ามหาศาลเช่นกัน รวมทั้งมีเรื่องของราคาสินค้าเกษตรโลกที่ตกต่ำโดยเฉพาะข้าวและยางพารา และทั้งข้าวและยางพารา ก็เป็นสินค้าหลักของเกษตรกรไทย ขณะที่ความผันผวนของค่าเงินบาทและค่าเงินของประเทศคู่ค้า โดยเฉพาะเงินยูโรที่อ่อนค่าลงมาก ก็ส่งผลกระทบต่อผู้ส่งออกไม่แพ้ไปกว่ากันนอกจากนี้ยังมีปัจจัยกรณีที่ไทยถูกตัดสิทธิพิเศษทางภาษีหรือจีเอสพี ในตลาดอียูจากการที่ไทยเป็นประเทศมีรายได้สูงขึ้น รวมถึงการปรับเปลี่ยนรุ่นรถกระบะของค่ายรถยนต์ผู้ส่งออกรายใหญ่สุดของไทย แห่หั่นเป้าส่งออกก่อนหน้านี้...กระทรวงพาณิชย์ได้ตั้งเป้าหมายการส่งออกไทยในปี 58 ขยายตัวที่ระดับ 4% แต่เมื่อผ่านไตรมาสแรกหรือถึงเดือนมี.ค.ที่ส่งออกติดลบ 4.69% ทำให้ต้องหั่นเป้าหมายเหลือโตแค่ 1.2% แต่เมื่อผ่านไปจนครบ 6 เดือนการส่งออกยังไม่ฟื้น โดยยังติดลบที่ 4.84% ทำให้กระทรวงพาณิชย์จำใจต้องลดเป้าหมายอีกครั้ง โดยอาจไม่ขยายตัวเลยก็เป็นไปได้ แต่ในมุมมองของภาคเอกชนแล้วต่างเห็นว่าอาจติดลบมากถึง 4% เช่นเดียวกับหน่วยงานอื่นทั้งกระทรวงการคลัง หรือสำนักวิจัยอื่น ๆ ที่คาดกันว่าจะติดลบที่ 4% เช่นกัน เหตุผลสำคัญเป็นเพราะในครึ่งแรกของปีตลาดต่าง ๆ ติดลบกันเป็นแถว ทั้งอาเซียนเดิม 5 ประเทศ ที่ติดลบไปแล้ว 10.7%,ญี่ปุ่นติดลบแล้ว6.6%,สหภาพยุโรปติดลบ 6.2%,จีนติดลบ7%,ฮ่องกงติดลบ 10.3%,เกาหลีใต้ติดลบ 8.7%,ตะวันออกกลางติดลบ 14.9%,แอฟริกาติดลบ 15.2%,กลุ่มซีไอเอสและรัสเซียติดลบ 47% ขณะที่ศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ประเมินว่าการส่งออกอยู่ที่ 218,896 ล้านดอลลาร์สหรัฐติดลบ 3.8%และเป็นการติดลบต่อเนื่องปีที่ 3 ซึ่งเป็นติดลบมากที่สุดในรอบ 6 ปี หลังจากที่ปี 57 ส่งออกไทยติดลบ 0.43% และปี 56 ติดลบ 0.32%“ จัด 200 กิจกรรมกระตุ้นแม้ว่าทุกฝ่ายต่างรับรู้ชะตากรรมกันอยู่แล้ว แต่เพื่อไม่ให้อาการส่งออกหนักหนาสาหัสมากไปกว่านี้อีก ทั้งกระทรวงพาณิชย์ ทั้งภาคเอกชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต่างผนึกกำลังหากิจกรรมสารพัดกว่า 200 กิจกรรม เพื่อช่วยกระตุ้นให้การส่งออกของไทยไม่ดิ่งเหวไปลึกกว่านี้อีก หรืออย่างน้อยก็รักษาหน้าของกระทรวงพาณิชย์ไว้บ้าง ไม่ว่าจะเป็นการให้ทูตพาณิชย์ทั่วโลกกว่า 60 แห่ง เชิญชวนผู้ซื้อผู้นำเข้า ผู้ผลิตสินค้าจากต่างประเทศกว่า 14,000 ราย ทั้งสหรัฐอเมริกา,ยุโรป, แอฟริกา, เอเชีย เข้ามาเจรจาการค้ากับผู้ประกอบการไทยเพื่อเพิ่มออร์เดอร์ในช่วงคริสต์มาสและวันขึ้นปีใหม่ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยเพิ่มยอดส่งออกได้อีก 7,300 ล้านบาท ขณะเดียวกันยังมีแผนจัดกิจกรรมอีกนับร้อยโครงการ โดยเน้นการจัดคณะผู้แทนการค้าไทยไปเจรจาการค้าในต่างประเทศครอบคลุมสินค้าเกษตร อาหารสินค้าอุตสาหกรรม แฟชั่นและสินค้าความงาม เป็นต้นรวมถึงการจัดงานแสดงสินค้าไทยในประเทศ,การสนับสนุนให้เอสเอ็มอีไทยไปร่วมงานแสดงสินค้าในต่างประเทศการร่วมมือกับห้างสรรพสินค้าจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายและจับมือกับภาคเอกชนรายใหญ่คอยเป็นพี่เลี้ยงแก่เอสเอ็มอีไทยที่ต้องการจะไปทำตลาดในต่างประเทศ โดยเริ่มจากกลุ่มอาเซียนก่อน ดึงซีอีโอเอกชนช่วยนอกจากนี้ยังจัดคณะทำงานบุกเบิกตลาดต่างประเทศ 5 ตลาด ได้แก่อาเซียน,จีน,ลาตินอเมริกา,แอฟริกา,ตะวันออกกลางและตลาดประชาคมรัฐเอกราชโดยมีผู้เชี่ยวชาญจากภาครัฐและเอกชนด้านการตลาดในตลาดเป้าหมายข้างต้นมาร่วมกันวางแผนทำยุทธศาสตร์ และแนวทางการผลักดันการส่งออก พร้อมทั้งยังมีการเพิ่มกิจกรรมกระตุ้นส่งออกนอกเหนือจากแผนเดิมที่ได้เตรียมไว้โดยการอาศัยความสามารถจากบรรดาเจ้าสัวและบรรดาซีอีโอจากกลุ่มอุตสาหกรรมใหญ่ที่จะเพิ่มมูลค่าการส่งออกให้มากขึ้นโดยการเน้นผลักดันการส่งออกผ่านสินค้า 4 กลุ่มสำคัญที่มีมูลค่าส่งออกสูงหรือคิดเป็น 57% ของการส่งออกไทย กลุ่มแรก เป็นอุตสาหกรรมหนัก ประกอบด้วยรถยนต์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบเครื่องคอมพิวเตอร์อุปกรณ์และส่วนประกอบวัสดุก่อสร้าง แผงวงจรไฟฟ้าเครื่องจักรกลฯ เครื่องปรับอากาศและเครื่องใช้ไฟฟ้าในกลุ่มนี้ตั้งเป้าหมายส่งออกขยายตัว 5.1% มูลค่า86,712 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่เป้าหมายส่งออกของเอกชนโดยรวมอยู่ที่ 3.4% มูลค่า 85,252 ล้านดอลลาร์สหรัฐ กลุ่มที่ 2 เป็นกลุ่มเกษตรและอาหารประกอบด้วย ข้าว อาหารทะเลแช่แข็งกระป๋องและแปรรูป กุ้ง ผักผลไม้ ไก่สดแช่เย็น และแปรรูปน้ำตาล เป้าหมาย ติดลบต้องไม่เกิน 2.5% มูลค่า 19,988 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนกลุ่มที่ 3 เป็นปิโตรเคมี ประกอบด้วยเม็ดพลาสติก เคมีภัณฑ์ต้องติดลบไม่เกิน 10.9%หรือมูลค่า 16,284 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และกลุ่มที่ 4 เป็นอัญมณีและเครื่องประดับประกอบด้วย อัญมณีและเครื่องประดับ (หักทองคำ) เป้าหมาย ต้องขยายตัว 6.8%มูลค่า 7,795 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เดินหน้าโรดโชว์ด้านกระทรวงพาณิชย์...โดย รมว. “ฉัตรชัย สาริกัลยะ” ก็จัดแผนเดินทางไปโรดโชว์เพื่อขายสินค้าอีกหลายประเทศในช่วงที่เหลือของปีเช่น ในเดือน ส.ค. นี้นำคณะเยือนอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ ผลักดันยอดสั่งซื้อข้าวรวมถึงการเยือนสหรัฐที่เมืองลอสแอนเจลิสเพื่อเข้าพบผู้นำเข้ากลุ่มอาหารและผู้กระจายสินค้ารายใหญ่ซึ่งจะมีการหารือกับผู้นำเข้าที่มีเชื้อสายฮิสแปนิก และเจรจาธุรกิจเพื่อเพิ่มยอดคำสั่งซื้อข้าวสารและหมวดอาหาร ส่วนในเดือน ก.ย. ได้วางแผนเดินทางเยือนเมียนมาเพื่อร่วมประชุมเจทีซีจากนั้นร่วมงานแสดงสินค้าไชน่า-อาเซียนเอกซโปที่หนานหนิงและปลายเดือนนำผู้ส่งออกและนักลงทุนไปพบผู้นำระดับสูงของอิหร่านเพื่อผลักดันสินค้าข้าว ไก่ และยานยนต์ขณะที่เดือนต.ค.จะเดินทางเยือนอังกฤษเพื่อผลักดันสินค้า อาหารชิ้นส่วนยานยนต์ อัญมณีและเครื่องประดับผ่านการเข้าพบผู้นำเข้าสำคัญเจรจาธุรกิจและสร้างความเชื่อมั่นสินค้าไทยจากนั้น เดินทางเยือนเซี่ยงไฮ้เพื่อร่วมงานแสดงสินค้าและเดินทางเยือนออสเตรเลียเพื่อผลักดันสินค้าอาหารสำเร็จรูป ผลไม้ยานยนต์ ส่วนในช่วงปลายเดือนต.ค. เตรียมเดินทางเยือนมณฑลกวางตุ้งประเทศจีนเพื่อผลักดันสินค้าข้าว อาหาร และผลไม้ ต่อมาในเดือน พ.ย. จะเชิญผู้นำเข้าข้าวจากฮ่องกงและสิงคโปร์มาไทยเพื่อเจรจาให้มีการซื้อข้าวไทยเพิ่มขึ้น เร่ขายข้าวในสต๊อกแม้ว่ามาตรการที่ว่า...จะไม่มีผลต่อตัวเลขการส่งออกในปี 58 มากนัก แต่หลายฝ่ายรวมถึงกระทรวงพาณิชย์มองว่าเป็นประโยชน์ต่อการส่งออกในปีต่อ ๆ ไป โดยเฉพาะเรื่องของสินค้าเกษตรอย่างข้าว มันสำปะหลัง ยางพารา และผลไม้ที่มีผลต่อรายได้ของเกษตรกรไทยซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ สาเหตุที่ภาครัฐมองเห็นโอกาสในภาวะที่เศรษฐกิจโลกซบเซาเนื่องจากพบว่าสัดส่วนการค้าในตลาดโลกของไทยเพิ่มขึ้นและมูลค่าการส่งออกไทยเมื่อเทียบกับประเทศต่างๆทั่วโลกพบว่าตัวเลขส่งออกไทยติดลบน้อยกว่าประเทศจีนและฮ่องกงเท่านั้นที่เหลือตัวเลขอาการหนักกว่าประเทศไทยทั้งนั้น ดังนั้นช่วงครึ่งหลังของปีสินค้าเกษตรอย่างข้าวจะมีส่วนช่วยส่งออกไทยเป็นอย่างดีและเป็นโอกาสรัฐบาลที่จะเร่งระบายสต๊อกในช่วงที่ราคาสูงจากภัยแล้ง โดยในครึ่งปีแรกไทยส่งออกข้าวไปแล้ว 4.46 ล้านตันซึ่งยังคงเป็นเบอร์ 1 ของโลกอยู่ การผลักดันให้การส่งออกของไทยเติบโตและมีมูลค่าสินค้าอย่างยั่งยืน ถือเป็นหน้าที่ของทุกฝ่าย ที่ต้องร่วมมือร่วมใจกัน ไม่ใช่ว่าเมื่อเกิดปัญหาเศรษฐกิจโลกซบเซา แล้วจึงมาคลำทางหากมาตรการดันส่งออก เพราะสุดท้ายแล้วไม่ว่าจะทำอย่างไรการส่งออกของไทยก็ไม่ยั่งยืน!!!.
มนัส แวววันจิตร
อ่านต่อที่ : http://www.dailynews.co.th/economic/338940 |

Comment
New!

สถาปนิก 68 ทบทวนทิศทาง Past Present Perfect

หากท่านอยู่ในอุตสาหกรรมน้ำมันและปิโตรเคมี ไม่ควรพลาดงานนี้ !! งาน Thailand Oil & Gas Roadshow 2024

สถาปนิก’68 ทบทวนทิศทาง Past Present Perfect

แบรนด์ผลิตภัณฑ์ก่อสร้างชั้นนำกว่า 600 บริษัท ตบเท้าร่วมงานสถาปนิก’67 พร้อมโชว์นวัตกรรมสุดล้ำ
Popular

ความรู้เกี่ยวกับความปลอดภัยในการทำงาน

สินค้าส่งออกสำคัญ 10 อันดับแรกของไทย

การส่งกำลังโดยใช้สายพาน

ประเภทสกรูและน็อต อุตสาหกรรม