รถยนต์ไฟฟ้ากับอุตสาหกรรมรถยนต์ไทย

1.2K



 

 

อุตสาหกรรมรถยนต์ถือเป็นอุตสาหกรรมที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยมาเป็นระยะเวลานาน โดยมีส่วนสำคัญทั้งในด้านการลงทุน การสร้างมูลค่าเพิ่ม การจ้างงาน และการพัฒนาด้านเทคโนโลยี ฯลฯ สร้างรายได้ให้กับประเทศไทยและคนไทยเป็นจำนวนมากตลอดระยะเวลากว่า 60 ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามเป็นที่ทราบกันดีว่าปัจจุบันทิศทางและแนวโน้มของอุตสาหกรรมรถยนต์กำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน (Pass Through) จากรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์สันดาปภายใน (Internal Combustion Engine : ICE) ไปสู่รถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้า (Electric Vehicle : EV) ซึ่งการเปลี่ยนผ่านนี้จะส่งผลกระทบเป็นวงกว้างทั้งต่อตัวอุตสาหกรรมรถยนต์เอง และอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องต่างๆ ดังนั้น

 

ประเทศไทยในฐานะที่เป็นฐานการผลิตรถยนต์และชิ้นส่วนฯ ที่สำคัญแแห่งหนึ่งของโลก จึงควรเร่งเรียนรู้การตั้งรับและปรับตัวเพื่อรองรับความท้าทายที่หลีกเลี่ยงไม่ได้นี้ ไม่เพียงแต่ค่ายรถยนต์รายใหญ่ข้ามชาติเท่านั้น แต่หมายรวมถึงผู้ผลิตชิ้นส่วนและส่วนประกอบรายย่อยที่จะได้รับผลกระทบโดยตรงเช่นเดียวกัน ซึ่งหากไทยไม่เร่งพัฒนาเทคโนโลยีหรือขาดการปรับตัวเตรียมความพร้อมให้เท่าทันเทรนด์ของอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า เป็นไปได้ว่าไทยอาจก้าวไม่ทันคู่แข่ง และอาจสูญเสียความสามารถในการแข่งขันที่มีมานานก็เป็นได้

 

ทั้งนี้คาดว่าเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้าจะเติบโตรวดเร็วมากในอนาคตอันใกล้ เนื่องจากต้นทุนการผลิตที่ลดลงอย่างรวดเร็ว จากความก้าวหน้าในด้านการวิจัยพัฒนาต่างๆ โดยเฉพาะต้นทุนของการผลิตแบตเตอรี่ และจะส่งผลให้ความแตกต่างของราคา (Price Difference) ระหว่างรถยนต์ ICE กับรถยนต์ EV แคบลง จนผู้บริโภคสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น โดย JPMorgan Chase ประมาณการว่ารถยนต์ไฟฟ้าจะมีส่วนแบ่งสูงถึง 35% ของยอดขายรถยนต์ใหม่ทั่วโลก ในปี 2025 และจะเพิ่มขึ้นเป็น 48% ในปี 2030

 

 

ประมาณการสัดส่วนยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าต่อยอดขายรถยนต์โลกปี 2025 และปี 2030

 

 

จากรายงานฉบับล่าสุดของ International Energy Agency : IEA (รายงานเรื่อง Global EV outlook 2017) พบว่า ปริมาณรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2016 ทั่วโลกมีปริมาณรถยนต์ไฟฟ้าบนท้องถนน (Stock) จำนวน 2.01 ล้านคัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 59.52 (%yoy) และมียอดการจดทะเบียนใหม่ (ยอดขาย) จำนวน 7.53 แสนคัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 37.66 (%yoy) ทั้งนี้ประเทศที่มีปริมาณรถยนต์ไฟฟ้าสะสมสูงที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ จีน สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น นอร์เวย์ และเนเธอร์แลนด์ โดยมีปริมาณอยู่ที่ 6.49, 5.64, 1.51, 1.33 และ 1.12 แสนคันตามลำดับ ขณะที่ประเทศที่มีอัตราการขยายตัวของ

 

 

ปริมาณรถยนต์ไฟฟ้าสะสมสูงที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ จีน เกาหลีใต้ สวีเดน สหราชอาณาจักร และแคนาดา โดยมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ร้อยละ 107.43, 88.40, 84.35, 78.15 และ 65.46 (%yoy) ตามลำดับ

 

 

ขณะที่สถานการณ์รถยนต์ไฟฟ้าของไทยในปัจจุบันเริ่มมีทิศทางชัดเจนมากขึ้นว่าการพัฒนาอุตสาหกรรมจะพึ่งพารถยนต์ไฮบริด (HEV) เป็นตัวส่งผ่าน ส่วนความร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เริ่มมีความชัดเจนมากขึ้นเช่นกัน สะท้อนจากการตื่นตัวด้านโครงสร้างพื้นฐานในการประจุไฟฟ้า (Charging Infrastructure) หรือสถานีชาร์จไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็นการไฟฟ้าฝ่ายผลิต (EGAT), การไฟฟ้านครหลวง (MEA), การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA), บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) ที่ทยอยเปิดตัวสถานีชาร์จไฟฟ้าออกมาอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่น โครงการ EA anywhere ของบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) ที่เซ็นข้อตกลง MOU ร่วมกับ กฟน. โดยมีเป้าหมายสถานีชาร์จไฟฟ้าเป็น 1,000 สถานี ทั้งนี้แนวทางข้างต้นถือเป็นการเริ่มต้นที่ดีของไทยในการพัฒนาอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าเพื่อเตรียมพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการผลิตรถยนต์ในอนาคต 

ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม รถยนต์และภาคส่วนอื่นที่เกี่ยวข้อง

เทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้าจะส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ในอุตสาหกรรมรถยนต์เป็นวงกว้าง ตั้งแต่ ผู้ผลิตรถยนต์ ผู้ผลิตชิ้นส่วนและส่วนประกอบ ไปจนถึงอุตสาหกรรมต่อเนื่องอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งหากผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องไม่ปรับตัวรองรับการเปลี่ยนแปลง อาจเผชิญปัญหาการผลิตสินค้าไม่ตรงความต้องการของตลาด และขาดทุนจนต้องปิดกิจการลงได้

 

 

ผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานอุตสาหกรรมรถยนต์ 

ผู้ผลิตรถยนต์

จะได้รับผลกระทบโดยตรง เนื่องจากความต้องการของผู้บริโภคจะเปลี่ยนจากรถยนต์ใช้น้ำมันไปสู่รถยนต์ไฟฟ้า ดังนั้นขนาดตลาดของรถยนต์ใช้น้ำมันจะเล็กลง ในขณะที่ขนาดตลาดของรถยนต์ไฟฟ้าจะเพิ่มสูงขึ้น ทั้งนี้สำหรับประเทศไทยคาดว่าผู้ผลิตรถยนต์เพื่อการส่งออก จะได้รับผลกระทบก่อน เนื่องจากรถยนต์ไฟฟ้าจะเติบโตในตลาดต่างประเทศที่มีความพร้อมในการรองรับสูงก่อน ส่วนผู้ผลิตรถยนต์เพื่อจำหน่ายภายในประเทศจะได้รับผลกระทบในระยะถัดไป เนื่องจากไทยยังคงมีข้อจำกัดในการพัฒนาอยู่ รวมถึงจำเป็นต้องใช้เวลาในการสร้าง Demand รถยนต์ไฟฟ้าภายในประเทศอีกสักระยะ 

อุตสาหกรรมชิ้นส่วนและส่วนประกอบ

จะได้รับผลกระทบในระดับสูงเช่นเดียวกับผู้ผลิตรถยนต์ เนื่องจากเทคโนโลยี รถยนต์ไฟฟ้าใช้ชิ้นส่วนและส่วนประกอบที่เปลี่ยนรูปแบบไปจากรถยนต์ใช้น้ำมันไปอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะตลาดชิ้นส่วนประกอบ (OEM) อย่างระบบส่งกำลัง (Powertrain) หรือเครื่องยนต์ (Engine) ที่จะถูกทดแทนอย่างสมบูรณ์ ด้วยระบบมอเตอร์ไฟฟ้า (E-Motor) ทั้งหมด ขณะที่ตลาดชิ้นส่วนอะไหล่ทดแทน (REM) ได้รับผลกระทบจาก แนวโน้มการซ่อมแซมรถยนต์ที่มีน้อยลง เนื่องจากรถยนต์ไฟฟ้ามีแนวโน้มที่จะปลอดภัยจากอุบัติเหตุมากกว่ารถยนต์ใช้น้ำมัน (ระบบไฟฟ้ามีโอกาสพัฒนาไปพร้อมกับระบบขับเคลื่อนด้วยตัวเอง ซึ่งจะปลอดภัยมากขึ้น) รวมถึงรถยนต์ไฟฟ้า มักจะถนอมการใช้งานมากกว่า โอกาสที่ชิ้นส่วนอุปกรณ์ต่างๆ จะชำรุดเสียหายจึงมีลดลง อย่างไรก็ตามชิ้นส่วนบางประเภทที่สามารถใช้ร่วมกันได้ระหว่างรถยนต์ไฟฟ้ากับรถยนต์ใช้น้ำมัน เช่น โครงรถและตัวถัง (Body) และระบบช่วงล่าง (Suspension) ฯลฯ อาจไม่ได้รับผลกระทบเหมือนชิ้นส่วนและส่วนประกอบประเภทอื่น

 

 

ขอบคุณที่มา : www.mreport.co.th , ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจ ธุรกิจและเศรษฐกิจฐานราก ธนาคารออมสิน

 

 

 

sendLINE

Comment